กาก้า ถือเป็นนักฟุตบอลคนสุดท้ายที่ได้รางวัล บัลลงดอร์ ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคสมัยของ ลิโอเนล เมสซี่
และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ แบบเต็มตัว และนี่คือเรื่องราวของชายคนนี้
ในงานมอบรางวัลอังทรงเกียรติที่ ซูริค ที่แห่งนี้ที่ ริคาร์โด้ อิเซ็คสัน ดอส ซานตอส ไลเต้ ได้ขึ้นรับรางวัลอันทรงเกียรติของเขาต่อหน้าบุคคลชั้นนำในวงการ
ฟุตบอลของโลกชายคนนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ กาก้า กล่าวออกไปว่า “นี่คือยุคสมัยใหม่ของฟุตบอล วัฏจักรใหม่เริ่มต้นขึ้น มันเคยมีนักเตะที่ยิ่งใหญ่มาก่อน
หน้านี้ แต่ตอนนี้ นักเตะใหม่ๆ กำลังจะก้าวขึ้นมาเพื่อสร้างประวัติศาสตร์” ในเดือน ธันวาคม 2007 กองกลางบราซิลคว้ารางวัล บัลลงดอร์ มาครองได้
รางวัลที่แสดงว่า เขาเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกในตอนนั้น
ในวันนี้ เขาก็ยังคงเป็นนักเตะคนสุดท้าย ที่ไม่ใช่ ลิโอเนล เมสซี่ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อยู่ และ กาก้า ก็เหมือนจะรู้ว่า การค้าแข้งตลอดอาชีพของเขา
เป็นเหมือนกระจกสะท้อนความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในโลกของฟุตบอล กาก้า เป็นยอดนักเตะคนสุดท้าย ที่เล่นฟุตบอลก่อนที่มันจะเปลี่ยนยุคสมัย
และยังเป็นช่วงเวลาก่อนยุคโซเชียลมีเดีย จะเฟื่องฟูอีกด้วย ยุคของเขา เป็นยุคเริ่มต้นของยุคโมเดิร์น, ที่นักเตะต้องทำทุกอย่าง รวมไปถึงการทำลาย
สถิติต่างๆ และการเข้าทำที่หลากหลายเขายังเป็นนักเตะคนสุดท้ายจาก 8 คน ที่คว้ารางวัลใหญ่ของโลก มาครองได้ครบ ทั้งแชมป์ ฟุตบอลโลก,
แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และบัลลงดอร์ ร่วมกับ เซอร์ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน, แกร์ด มุลเลอร์, ฟรานซ์ เบคเค่นบาวเออร์, เปาโล รอสซี่, ซีเนอดีน ซีดาน,
ริวัลโด้ และโรนัลดินโญ่ ด้วย
ย้อนกลับไป กาก้า เกือบไม่ได้เป็นในสิ่งที่เขาเป็นในตอนนี้
เพราะในวัย 18 ปี เขาประสบอุบัติเหตุจนเกือบจะเป็นอัมพาต เนื่องจากศีรษะของเขาไปกระแทกกับสระน้ำ หลังจากไปพบแพทย์
ตัวของเขาก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วใน 1 สัปดาห์เท่านั้น
“หมอบอกว่า ผมโชคดีมากแล้ว ที่กลับมาเดินได้เป็นปกติ” เขากล่าว “พวกเขาบอกว่าเป็นเรื่องของดวง
แต่ครอบครัวของผมบอกว่าเป็นเพราะ พระเจ้า เรารู้ดีว่า เพราะพระองค์ยื่นมือมาช่วยผม”
ถึงแม้จะมีความสูงถึง 6 ฟุต 1 หรือ 185.5 เชนติเมตร แต่ กาก้า กลับมีพรสวรรค์ในการเลี้ยงบอลหลบคู่ต่อสู้ได้อย่างเหลือเชื่อ จนไม่ว่าใครก็ต้องมองออกว่า
เขาเหมาะกับบทบาทจอมทัพหมายเลข 10 ขนาดไหนก่อนฟุตบอลโลกปี 2002 ตำนานของ บาร์เซโลน่า และทีมชาติบราซิล อย่าง ริวัลโด้ได้ค้นพบเพชร
อย่าง กาก้า ก่อนใคร โดยเขาให้สัมภาษณ์สื่อถึงเรื่องนี้ด้วยว่า…
“มีเด็กคนหนึ่งที่เล่นให้ เซา เปาโล เหมือนจะชื่อ กาก้า ที่เล่นตำแหน่งหลังกองหน้า
คุณจะไม่รู้จักเขาในยุโรปแต่จับตาดูหมอนี่ไว้ให้ดี ถ้าเขาถูกเลือกมาเล่นในฟุตบอลโลกคราวนี้”
กาก้า ได้โอกาสอย่างจำกัดในฟุตบอลโลกที่ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เขาได้ลงไปเล่นเป็นเพียงตัวสำรองนัดเดียวเท่านั้น แต่เขาก็ยังสามารถจบทัวร์นาเมนต์
นี้ด้วยตำแหน่งแชมป์โลกได้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในทีมฤดูกาลต่อมา เขาถูกซื้อตัวไปโดยแชมป์สโมสรยุโรป อย่าง เอซี มิลาน ด้วยค่าตัว 8.5 ล้าน ยูโร
หรือราว 320 ล้านบาท ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ประธานสโมสรเอซี มิลาน ในตอนนั้น กล่าวว่า ถูกเหมือนได้เปล่า และเขาก็พิสูจน์แล้วว่า ค่าตัวของ กาก้า
ถูกเกินไปจริงๆ กาก้า ก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ได้ภายใน 1 เดือน แต่ฤดูกาลถัดไปต่างหาก ที่ กาก้า กลายเป็นตัวจุดประกายให้กับ “รอสโซ่เนรี่” อย่างแท้จริง
คาร์โล อันเชล็อตติ ผู้จัดการทีม “ปีศาจแดงดำ” ในตอนนั้น เรียกเขาว่า นิว มิเชล พลาตินี่ ,
เปเล่ ก็ยกย่องเขาให้เป็น นิว โยฮัน ครัฟฟ์ และตำนานบราซิล อย่าง โซคราติส ก็เปรียบเทียบเขา
ว่าเหมือนกับเป็น ซิโก้ หรือที่คนไทยรู้จักกันในฉายา “เปเล่ขาว” อีกคนเลย
เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่มีกองกลางที่ดีที่สุดในโลก อย่าง เจนนาโร่ กัตตูโซ่, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, อังเดรีย ปีร์โล่ และมัสซิโม่ อัมโบรซินี่
แต่ถึงอย่างนั้น กาก้า ก็ต้องจบฤดูกาล 2004-05 ด้วยความผิดหวังครั้งใหญ่ หลังจบเป็นอันดับ 2 ในเซเรีย อา ตามหลัง ยูเวนตุส และเป็น
เหยื่ออันโอชะของ ลิเวอร์พูล ในเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ แห่ง อิสตันบูล ในรอบชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
แต่สุดท้าย ในปี 2006-07 มันก็เป็นฤดูกาลของเขาเสียที กาก้า ในวัย 24 ปี ช่วยให้ เอซี มิลาน ล้างแค้นต่อ ลิเวอร์พูล
ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ เอเธนส์ ถึงแม้ เขาจะทำประตูไม่ได้ในเกมรอบชิง แต่ในรอบรองชนะเลิศ เขาเป็นกุญแจสำคัญในการคว่ำ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงอย่างราบคาด ภาพติดตาของใครหลายๆ คนต่อ กาก้า ในเกมพบกับ แมนฯ ยูไนเต็ด คงหนีไม่พ้นจังหวะที่เขารับบอลยาว
ก่อนดึงบอลหนี ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ และหลบ กาเบรียล ไฮน์เซ่ จนไปชนกับ ปาทริช เอวร่า เปิดโอกาสให้เขาได้ดวลตัวต่อตัว กับ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์
ก่อนเขาจะยิงเข้าไปไม่เหลือ และกลายเป็นจังหวะตำนานของเขาในเวลาต่อมา
ประตูดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เขามีทั้งความเร็ว, ความแข็งแกร่ง, ความว่องไว และจิตใจที่แข็งแกร่งทนต่อสภาวะความกดดัน
ซึ่งเป็นประตูที่มีแต่ กาก้า เท่านั้นที่ทำได้ ถึงแม้เกมดังกล่าว ยูไนเต็ด จะชนะไป 3-2 แต่ กาก้า ก็พาทีมเล่นงานกลับใน ซาน ซิโร่ ได้ 3-0 จนเข้ารอบต่อไปได้
น่าโชคร้าย ที่หลังจากนั้น กาก้า ต้องมาบาดเจ็บหนัก จากเกมที่พบกับ เซนิต ใน แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยอาการที่เข่า และโคนขาหนีบ
ทำให้เขาต้องพักรักษาตัวเกือบครึ่งปี ท่ามกลางข่าวลือมากมายที่เกิดขึ้นในตอนนั้นในเวลาเดียวกัน สโมสรก็ตกเป็นข่าวที่จะปล่อย กาก้า
ออกไปจากทีม ในขณะที่ยังคงเป็น “นักเตะที่ดีที่สุดในโลก” อยู่
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เพิ่งได้กลุ่มทุนใหม่อย่าง อาบูดาบี กรุ๊ป เข้ามาเทคโอเวอร์ ก็เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะดึงกาก้า ไปร่วมทีม แบร์ลุสโคนี่
สารภาพว่าได้รับข้อเสนอมูลค่า 100 ล้านปอนด์ เพื่อแลกกับ กาก้า และดูเหมือน เขากำลังจะมุ่งหน้าไปสู่พรีเมียร์ลีก ในเวลา 3 วันนับจากนั้น
ทว่า ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องทั้งหมดไม่ได้เป็นแบบที่คาด เมื่อ กาก้า ตัดสินใจเปิดหน้าต่างที่อพาร์ตเมนต์ของเขาออก แล้วชูเสื้อมิลานต่อหน้าแฟนๆ
ที่มารวมตัวกันเพื่อขอให้เขาอย่าไปจนท้ายที่สุด การตัดสินใจดังกล่าว ทำให้ ซิตี้ ต้องเบนเป้าหมายไปที่ เคร็ก เบลลามี่ และกาก้า ก็ไม่เคยไปเล่น
ในพรีเมียร์ลีกเลยตลอดชีวิตของเขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาล่วงเลย เรื่องราวของ กาก้า กับ เอซี มิลาน ก็ต้องจบลง ในปี 2009 เขาได้ย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 56 ล้านปอนด์
และกลายเป็นนักเตะที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลกอยู่พักหนึ่ง จน มาดริด ไปกระชาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มาจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ในซัมเมอร์เดียวกัน
กาก้า ไม่เคยเป็นตัวหลักที่ เบร์นาเบว ได้เลย และเวลาต่อมา เขาก็กลับไปที่ มิลาน อีกครั้ง ในปี 2013 ก่อนที่เวลาการค้าแข่งในฟุตบอลระดับสูง
ของเขาจะจบลง กาก้า ปิดฉากอาชีพการค้าแข้งกับ ออร์ลันโด้ ซิตี้ เอฟซี ในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ (และมีช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขาถูกปล่อยตัวกลับไปที่
เซา เปาโล โดยสัญญายืมตัว) เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดในเดือนธันวาคมปี 2017 และนั้นคือเรื่องราวของผู้ยิ่งใหญ่คนสุดท้าย
ก่อนยุคของ เมสซี่ / โรนัลโด้ จะเริ่มขึ้น…