“ผมอยากไปเล่นเจลีก ญี่ปุ่น” โก๋อุ้มกล่าวได้กล่าวไว้
ย้อนกลับไปปี 2016 เขากล่าวถึงความฝันของตัวเอง ผ่านช่วงเวลาที่ความอิ่มตัวสุกงอมเต็มที่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาสำลักความสำเร็จที่ล้นปรี่ เพราะการค้าแข้งกับยักษ์ใหญ่ของประเทศไทยอย่างบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เขากวาดมาทุกแชมป์แล้ว ทั้งไทยลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และถ้วยพระราชทาน ก. อย่างละ 4 สมัย
นี่เป็นรางวัลที่ตอบแทนหยาดเหงื่อของชายคนหนึ่ง ที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย ก่อนจะมุ่งมั่นเข้าโรงเรียนกีฬา เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ ด้วยการเล่าเรียนฟรี ควบคู่ไปกับการเล่นฟุตบอลที่ตัวเองรัก จนกลายมาเป็นนักเตะอาชีพ และคอยหาเงินมาจุนเจือครอบครัวเป็นผลสำเร็จ
“ผมอยากไปเล่นเจลีก ญี่ปุ่น” โก๋อุ้มกล่าวได้กล่าวไว้
อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ลูกหนังบนแผ่นดินอาทิตย์อุทัย ซึ่งเป็นลีกที่ขึ้นชื่อว่าหินสุดในทวีปเอเชีย ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย เขาต้องพบเจอแบบทดสอบมากมาย ที่คอยกระตุ้นเตือนว่า … เขายังดีไม่พอ
“ผมไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จมั้ย แต่ผมก็อยากไป” เขาเผยมุมมองต่อเจลีก แน่นอนว่า การจะก้าวไปสู่การแข่งขันที่มาตรฐานสูงขึ้น ความฝันอย่างเดียวไม่เพียงพอ ทว่าต้องใช้ความพยายาม ที่เคี่ยวกรำอย่างมหาศาลด้วย
เขาพูดถึงสมัยเล่นกับปราสาทสายฟ้า ต่อว่า “ปีแรกที่ผมไปเล่นเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ผมโดนพวกญี่ปุ่น และเกาหลีใต้หลอก โดนหลอกแบบนั้น 1-2 ปี พอปีที่ 3 ผมเริ่มกลับมาคิดว่า ทำไมถึงสู้ไม่ได้ ? ผมกลับมาเล่นฟิตเนส จากผอมๆ จนเริ่มมีกล้ามเนื้อ คือการโดนหลอก ทำให้เรากลับมาพัฒนา”
“ปีแรกผมเล่นกับคาชิว่า เรย์โซล ในถ้วยเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ผมประกบปีกขวาไว้อยู่ คู่แข่งเตะบอลข้ามผม ผมคิดว่าปีกขวาไปรับบอลไม่ทันแน่ แต่บอลมันดันสกรูกลับ ปีกขวาเลยวิ่งไปทัน ผมก็ต้องวิ่งไปไล่กวดอีก ผมเลยย้อนกลับมาดูอีกทีว่า เขาเตะยังไง ? ผมลองซ้อมเตะดูบ้าง …. มันทำได้เว้ย”
โชคชะตาหรืออะไรก็ตามแต่ เขามีเหตุต้องให้ย้ายทีมออกจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก่อนย้ายมาซบคู่ปรับร่วมลีกอย่างเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ท่ามกลางเรื่องราวดราม่าที่ไหลมาอย่างไม่หยุดยั้ง เขาก้มหน้าก้มตาทำผลงานของตัวเองต่อไป นอกจากแชมป์ลีกสูงสุด ประตูสู่สิ่งที่เขาฝันมาตลอดก็แง้มออกมา … เขากำลังมุ่งหน้าสู่เจลีก
แม้จะมาในรูปแบบการยืมตัว ทว่าสิ่งที่ยืมมา กลับจะอยู่ที่เขาตลอดไป จากคันไซ สู่คันโต – จากโกเบ สู่โยโกฮาม่า นี่คือช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย แง่ดี และแง่ร้ายผสมกันไป เบื้องหน้า เขาคือความภาคภูมิใจของคนไทย ที่กลายเป็นแบ็คซ้ายตัวหลักของทีมระดับเจลีก ส่วนเบื้องหลัง เขาคือผู้ชายธรรมดา ที่สูญเสียหยดน้ำตาให้กับบทเรียน ทั้งการฝ่าฟัน และการไล่ตามความฝัน ที่ต้องแลกมากับการอยู่ห่างจากครอบครัวไกลแสนไกล
ช่วงเวลา 3 ปีของแต่ละคนช่างแตกต่าง
บางคนมีความฝัน แต่ไม่ลงมือทำ
บางคนลงมือทำ แต่ล้มเลิกกลางทาง
บางคนล้มลุกคลุกคลาน แต่ยังพยุงตัวเองสู่เส้นชัย
สำหรับเขา 3 ปี เปลี่ยนแปลงชีวิตราวกับเทพนิยาย จากคนที่โดนนักเตะญี่ปุ่น ท้าทายด้วยการหลอกในสนามจนหัวหมุน สามารถพัฒนาตัวเอง จนก้าวมาเล่นในเจลีก และยังต่อสู้กับนักเตะที่เคยเหนือกว่าตัวเองอย่างสมศักดิ์ศรี
หากความฝันสามารถพูดได้ มันคงบอกกับเขาว่า “ขอบคุณที่ไม่เคยทิ้งกันไป” เพราะสุดท้าย เขากอดสิ่งนี้ไว้อย่างแนบแน่น จนกลายเป็นนักเตะสายเลือดไทย คนแรกในประวัติศาสตร์ ที่คว้าแชมป์เจลีก มาครองได้เป็นผลสำเร็จ ทิ้งทวนด้วยการยิงประตูในวันตัดสินแชมป์ลีกสูงสุดอย่างยิ่งใหญ่
“ผมไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จมั้ย” วันนี้เขาคงได้คำตอบแล้วว่า เขาสามารถทำมันได้
ธีราทร บุญมาทัน
อ่านข่าวฟุตบอล :: ข่าวฟุตบอลสดใหม่ทุกวัน
ติดตาม Facebook :: SUPERSPORTSKICK