“เจ้ารถแทรกเตอร์” ตำนานหมายเลข 4 ของเนรัซซูรี่ ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ
ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ เด็กหนุ่มผู้ที่อดีตรับหน้าที่ส่งนม และถูกทีมปฏิเสธเพราะตัวเล็กเกินไป แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อเหตุการณ์สำคัญที่จะทำให้เขาเป็นตำนานของ เนรัซซูรี่ หมายเลข 4 ของ อินเตอร์ มิลาน ที่เป็นกัปตันผู้เงียบขรึม ผู้จัดการปัญหาด้วยการพูดดีๆ แต่ทรงพลัง
“เจ้ารถแทรกเตอร์” ตำนานหมายเลข 4 ของเนรัซซูรี่ ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ
เด็กชาย ‘ฮาเวียร์ อเดลม่า ซาเน็ตติ’ ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 1973, ที่กรุงบูโนส ไอเรส
ซาเน็ตติเป็นลูกชายของคุณพ่อ โรโดลโฟ่ ซึ่งทำงานเป็นช่างหิน ขณะที่คุณแม่ ไวโอเล็ตต้า ทำงานเป็นแม่บ้านรับจ้างในบูโนส ไอเรส, ครอบครัวของซาเน็ตติไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวยอะไรมากนัก
เมื่อตอนที่รู้ตัวว่าชอบเล่นฟุตบอล คุณพ่อได้พาซาเน็ตติไปอยู่กับทีมดังอย่างอินดิเพียเนเต้ เขาเล่นอยู่ในทีมเยาวชนนานถึง 7 ปีก่อนจะถูกปฏิเสธการมอบสัญญาอาชีพให้ด้วยเหตุผลที่ว่า “ตัวเล็กเกินไป”
เหมือนความหวังแทบดับเหมือนกับเทียนที่เหลือไม่ถึง 1 ซ.ม. ซาเน็ตติ ผิดหวังมาก เขาเกือบละทิ้งความฝันการเป็นนักฟุตบอลอาชีพไปแล้ว ทุกเช้ามืดเขาต้องทำงานพิเศษส่งนมจนถึง 7 โมงก่อนจะไปโรงเรียน จากนั้นช่วงบ่ายถึงไปซ้อมฟุตบอลกับสโมสรเล็ก ๆ ในท้องถิ่นที่ชื่อตาเยเรส เมื่อซ้อมเสร็จก็จะกลับมาช่วยงานคุณพ่ออีก
ชีวิตของเขาวนไปแบบนี้ทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง, ขณะที่ ซาเน็ตติ นั่งก่ออิฐกับคุณพ่อ ท่านก็ได้ถามขึ้นมาว่า ‘ยังอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพจริง ๆ อยู่รึเปล่า’ ซาเน็ตติตอบว่า ‘ใช่ครับ ยังอยากเป็นอยู่’
หลังจากนั้นคุณพ่อก็บอกให้เขาหยุดทำงานพิเศษทุกอย่าง แล้วออกไปทุ่มกับความฝันแบบเต็มตัว พ่อของซาเน็ตติบอกกับขาว่า ‘จงลืมความผิดหวังทุกอย่าง แล้วตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อมมัน ทำมันให้ดีที่สุด ผลลัพธ์เป็นอย่างไรช่างมันก่อน ไปทำให้ดีที่สุด ลองทำมันอีกสักครั้ง’
หลังจากวันนั้น เด็กชายที่ชื่อฮาเวียร์ ซาเน็ตติจึงได้กลับไปทุ่มเทกับฟุตบอลที่เขารักเพียงอย่างเดียว จนได้รับการติดต่อมาจากสโมสรที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอย่างอย่าง “แบนฟิลด์”
• ที่แบนฟิลด์ •
ซาเน็ตติประเดิมสนามเกมแรกในนัดที่พบกับ ริเวอร์เพลท ยักษ์ใหญ่ของลีกในตำแหน่งแบ็คขวา เกมในวันนั้นเขาทำหน้าที่ได้อย่างสุดยอด จนโค้ชของแบนฟิลด์ถึงกับเอ่ยปากว่า ‘เราเจอเพชรเม็ดงามเข้าแล้ว’
17 วันต่อมา, เพชรเม็ดงามเม็ดนั้นยิงประตูแรกในลีกสูงสดได้สำเร็จด้วยการกดตีเสมอให้ทีมนัดพบกับนีเวลด์ โอลด์ บอยส์ และถูกเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่ให้หลังไม่นาน
มีข้อเสนอจากทีมใหญ่ๆของลีกทั้ง โบคา และ ริเวอร์ เพลท เข้ามาที่สโมสรตอนจบฤดูกาลนั้น และเราก็พร้อมจะปล่อยเขาให้ไปในอนาคตที่ดีกว่านะ แต่เป็นเขาเองที่ไม่อยากย้ายออกในตอนนั้น” ประธานของแบนฟิลด์เล่าความหลัง
“เขามาถึงสนามซ้อมเป็นคนแรกและกลับคนสุดท้ายเสมอ,และในช่วงนั้นมีแมวมองจากอิตาลีตามมาดูฟอร์มของเขาด้วยนะ เรารู้ได้ทันทีว่าเขาน่าจะอยู่กับเราได้อีกไม่นานแล้วล่ะ”
ทีมจากอิตาลีที่ว่า คือ “อินเตอร์ มิลาน” ทีมยักษ์ใหญ่ของ อิตาลี ที่มีนักเตะตำนานหลายๆคนอยู่ในทีม และ เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากมาย
• นักเตะคนแรกในยุคโมรัตติ •
อินเตอร์ มิลานปี 1995, กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน”มัสซิโม โมรัตติ” เพิ่งจะได้เข้ามาบริหารทีมงูใหญ่และนักเตะคนแรกที่เขาเซ็นเข้ามาสู่ทีมก็คือซาเน็ตติ
“ในตอนแรกนั้น ผมส่งคนไปดูฟอร์มของอาเรียล ออร์เตก้าในทีมอาร์เจนชุดยู 21, แต่กลายเป็นฟูลแบ็คของทีมที่ทำให้ผมสนใจมากกว่า เขาเล่นได้น่าอัศจรรย์มาก ๆ” โมรัตติหมุนเข็มนาฬิกาเล่าให้นักข่าวฟัง
“เดือนต่อมา, เราเดินทางไปที่อาร์เจนติน่าเพื่อจะเซ็นกับแรมเบิร์ต แต่ทางฝั่งนั้นบอกว่ามีแบ็คขวาเทพคนนึง สนใจมั้ย ? ผมกับลูกชายเลยขอดูวิดีโอการเล่นของเขา เมื่อดูจบผมบอกเขาทันทีเลยว่า ‘ชั้นจะเอาหมอนี่กลับอิตาลีด้วย !’ ตอนนั้นผมรู้ทันทีเลยว่านี่จะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดของสโมสรอินเตอร์ มิลาน”
• ความกังวลแรกที่ซาน ซิโร่ •
เมื่อมาถึงสโมสรอินเตอร์ มิลานวันแรก, ซาเน็ตติมีเพียงถุงพลาสติกธรรมดาซึ่งข้างในใส่รองเท้ากับบัตรประจำตัวเท่านั้น ไม่มีนาฬิกาหรูหรือโทรศัพท์ราคาแพง เขายังต้องกล่าวขอทางแฟนบอลที่มารอล่าลายเซ็นเปิดตัวนักเตะใหม่ตรงทางเข้าสนามซ้อมด้วยซ้ำ โดยที่ไม่มีใครจำเขาได้เลย
“พอผมเดินออกมาที่ระเบียงตอนเปิดตัวเท่านั้นแหละ แฟน ๆ พากันตกตะลึงไปเลย ผมเพิ่งเดินผ่านพวกเขาไปโดยที่พวกเขาไม่รู้ว่าผมเป็นใคร กระทั่งพนักงานต้อนรับยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ” ซาเน็ตติเล่าติดตลกเมื่อรื้อฟื้นวันแรกที่มาถึงสโมสร
“ตอนเซ็นสัญญา พวกเขาให้ผมเลือกรถที่จะใช้หนึ่งคัน ผมเลือกบีเอ็มดับเบิ้ลยู แต่แค่วันเดียวผมก็รู้สึกไม่สบายใจเอามาก ๆ ผมจึงโทรไปถามแบร์โกมี่ ซึ่งเป็นกัปตันทีมในตอนนั้นกลางดึกว่าโอเคไหม ถ้าผมจะไปถึงสนามซ้อมวันแรกด้วยบีเอ็มดับเบิ้ลยู ? ผมไม่อยากสร้างความเข้าใจผิดกับเพื่อนใหม่ในทีมว่าผมเป็นคนหัวสูง แบร์โกมี่หัวเราะแล้วบอกว่าสบายมาก”
“พอผมไปถึงสนาม ผมเลยรู้ว่ารถผมน่ะเห่ยที่สุดแล้ว แต่นั่นกลับทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยนะ”
• เจ้ารถแทร๊คเตอร์ •
ครั้งนึง, นักข่าวจากโฟร์โฟร์ทูได้ถามกับซาเน็ตติว่าทำไมเขาถึงมีฉายาว่า “Il Tractore” หรือเจ้ารถแทร๊คเตอร์ เขาตอบว่า
“ผมได้รับฉายานี้ตั้งแต่สมัยเล่นในอาร์เจนติน่าแล้ว เพราะว่าสไตล์ของผมที่วิ่งไปทั่วทั้งสนามไม่มีหยุด สื่อที่นั่นเป็นคนตั้งฉายานี้ให้, จากนั้นพอย้ายมาที่อิตาลีนักข่าวที่นี่เลยใช้เรียกผมตาม ๆ กันมา ซึ่งผมก็ชอบมันนะ”
• เมื่อซาเน็ตติหัวร้อน •
ถึงจะเป็นคนที่ดูเงียบขรึมและสงบเสงี่ยม แต่ในปี 1997 เกมยูฟ่า คัพรอบชิงชนะเลิศ คนอย่างซาเน็ตติก็เคยหัวเสียตอนโดนเปลี่ยนตัวออกมาแล้ว
“วันนั้นผมแค่รู้สึกไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วยที่รอย ( ตอนนั้นรอย ฮอดจ์สันคุมอินเตอร์อยู่ ) เปลี่ยนผมออกในช่วงที่ใกล้จะดวลจุดโทษแล้ว, ผมคิดว่าผมเล่นได้ดีนะวันนั้น แล้วคนที่ถูกเปลี่ยนลงมาก็ไม่ใช่มือสังหารจุดโทษอีกด้วย ( นิโกล่า แบร์ตี้ ) นั่นเลยทำให้ผมหัวร้อนนิดหน่อย”
“แต่วันรุ่งขึ้น, ผมก็เข้าไปสวมกอดรอยนะ เขาเป็นโค้ชที่ดีคนนึง ผมกับเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเลยแหล่ะ”
• ซาเน็ตติกับแมนฯ ยูไนเต็ด •
ช่วงเวลาที่มืดมนของอินเตอร์คืบคลานเกาะกินสโมสรร่วมครึ่งทศวรรษ
นับตั้งแต่ปี 1999-2004 พวกเขาร้างราความสำเร็จและตกอยู่ใต้ร่มเงาของมิลานกับยูเว่มาโดยตลอด, ขณะที่ซาเน็ตติเองก็เคยเกือบเก็บข้าวของย้ายไปหาความสำเร็จกับทีมอื่นเช่นกันในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นเดียวกับสตาร์คนอื่น
“มีหลายสโมสรติดต่อเข้ามา มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดช่วงนึงในชีวิตของผมเลย”
“ในฐานะกัปตันทีม คุณไม่สามารถทิ้งทีมไปหาความสุขคนเดียวได้หรอก, ผมคุยกับโมรัตติเยอะมาก เราตั้งเป้าหมายร่วมกันและให้คำมั่นสัญญาว่าจะช่วยกันสร้างอนาคตที่นี่ร่วมกัน”
“ผมจำได้ถึงวันที่ย้ายมาอินเตอร์วันแรกเขาบอกกับผมว่า เมื่อผมเซ็นสัญญาเป็นนักเตะของอินเตอร์แล้ว ผมก็คือคนในครอบครัวของเขาคนนึง เป็นเหมือนลูกชายอีกคน, ด้วยเหตุนั้นความคิดเรื่องการย้ายทีมจึงไม่เคยเกิดขึ้นกับผมอีกเลย”
ซาเน็ตติยังบอกอีกว่า เพราะโมรัตติและแฟนบอลอินเตอร์จึงทำให้เขาปฏิเสธที่จะได้ร่วมงานกับเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันในช่วงปลายยุค 90 อีกด้วย
“ผมได้พบกับเฟอร์กี้โดยบังเอิญที่สนามบินในอังกฤษพร้อมกับภรรยาของผม, ข่าวลือที่ว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องการเซ็นสัญญากับผมคือเรื่องจริง! ผมได้คุยกับเขานานพอสมควรเลยแหล่ะ ทั้งเรื่องฟุตบอลและเรื่องของผม”
“ผมปฏิเสธเขา เพราะผมต้องการอยู่ที่อินเตอร์ต่อ, แม้ช่วงนั้นเราจะไร้ซึ่งความสำเร็จ แต่แผนงานที่ผมได้คุยกับโมรัตติมันเป็นรูปธรรม และผมทิ้งมันไปไม่ได้จริงๆ”
• ฟรีคิกบรรลือโลกที่ “ฟร๊องซ์ 98” •
1 ในประตูที่สำคัญของซาเน็ตติก็คือฟรีคิกที่ยิงใส่อังกฤษในฟุตบอลโลกปี 1998
“ผู้คนถามถึงประตูนี้กันเยอะนะ, จริงๆ เราซ้อมกันโดยเป็นลูกสูตรที่ให้คนอื่น ๆ วิ่งข้ามแล้วจบด้วยออร์เตก้าเป็นคนยิง แต่ปรากฏว่าไม่เวิร์ค”
“พาสซาเรลล่าเลยเดินมาบอกผมว่า ‘งั้นเอางี้ นายไปยืนแอบในกำแพงแล้วให้ออร์เตก้าหลอกยิง ที่เหลือฝากนายจัดการด้วย’ เราซ้อมลูกนี้กันไม่นาน และมันโชคดีที่สุดท้ายผมกดด้วยซ้ายเข้าไปจนได้”
• ค่ำคืนแห่งเทรปเบิ้ล •
ซาเน็ตติเปิดเผยว่า วันที่อินเตอร์ต้องลงเล่นรอบชิงกับบาเยิร์นนั้น ทุกคนในห้องแต่งตัวมีความมั่นใจอย่างสุดขีดว่าพวกเขาสามารถเอาถ้วยบิ๊กเอียร์กลับเมืองมิลานได้อย่างแน่นอน
“บรรยากาศในห้องแต่งตัวสุดยอดมาก โชเซ่ มูรินโญ่ทำให้พวกเรารู้สึกว่าตัวเองเก่งกว่าที่เป็นอยู่ถึง 2 เท่า, ผมหันไปเห็นแววตาของมิลิโต้แล้วรู้เลยว่าเขาต้องทำประตูได้แน่”
“เกมวันนั้นเป็นนัดที่ 700 ของผมในสีเสื้อตัวนี้ด้วย มันเลยยิ่งทวีความพิเศษสำหรับผมมากขึ้นไปอีก, นั่นแหละเป็นเหตุผลที่ผมมักจะบอกใครๆ ว่าเกมคืนนั้นคือโมเม้นต์ที่สุดยอดที่สุดของผมแล้วในอาชีพการค้าแข้ง”
• คุณแม่ •
ในปี 2011 หลังจากอินเตอร์ มิลานคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย จากการเอาชนะปาแลร์โม่ได้ 3-1 “ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ” ได้รับข้อความทางโทรศัพท์แสดงความยินดีจากคุณแม่ของเขา
‘ยินดีด้วยลูกรัก แม่ดีใจมาก ๆ แม่รักลูกมาก ๆ นะ’
“เรากลับไปฉลองกันที่มิลาน ปาร์ตี้ของเรายาวนาน ผมตั้งใจจะโทรหาแม่ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น และนั่นคือความผิดพลาดที่ผมจะไม่เคยลืมเลย ผมควรจะโทรกลับไปหาแม่เร็วกว่านี้”
คุณแม่ของซาเน็ตติจากไปอย่างสงบในค่ำคืนนั้น เป็นบาดแผลที่อิล กาปิตาโน่แห่งเนรัซซูรี่ยังคงรู้สึกผิดหวังมาจนทุกวันนี้
“คุณแม่ของผมเป็นคนหวีผมทรงนี้ให้กับผมตั้งแต่เด็ก ๆ นี่เป็นเหตุผลที่ผมไม่เคยคิดจะเปลี่ยนทรงผมเลย”
ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ ยอดนักเตะผู้มีคุณแม่อยู่ในหัวใจเสมอมาและตลอดไป
จากเด็กส่งนมสู่ตำนานแห่งเนรัซซูรี่ ชีวิตของเขามีเรื่องราวมากมายเกินจะเล่าหมดภายในไม่ถึง 100 บรรทัดนี้
ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผมพอจะเล่าให้ฟังได้นั่นก็คือ ชายผู้นี้ไม่เคยทรยศต่อความรักในเกมลูกหนังและไม่เคยผิดคำสัญญาที่มีต่อคนรอบตัวเลย
เขาเคยรับปากกับโมรัตติว่าจะสร้างทีมใหม่ด้วยกัน แม้ช่วงนั้นจะยากลำบากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยกลับคำ ( ปฏิเสธเฟอร์กี้และมาดริดมาแล้วในช่วงพีค )
“ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ” ไม่เคยร้อนรนกับสิ่งเร้าต่าง ๆ รอบด้าน, เขาค่อย ๆ บรรจงสร้างตำนานของตัวเองแบบเรื่อย ๆ เหมือนกับที่เขาเคยก่ออิฐทีละก้อน ทีละก้อนเพื่อสร้างกำแพงกับคุณพ่อในวัยเด็ก
ความสำเร็จบางอย่างอาจมาถึงช้าก็จริง แต่เมื่อมันสำเร็จจากน้ำพักน้ำแรงของเรา, มันโคตรคุ้มค่ากับการรอคอยเลยนะครับ
เหมือนที่ซาเน็ตติได้รับมันไปแล้ว จากคำว่า “ตำนานผู้จงรักภักดีแห่งเนรัซซูรี่” แม้จะไม่ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขเป็นอิตาเลียนและเติบโตจากรั้วอะคาเดมี่ของสโมสรเลยก็ตาม