เกมดังกล่าว อาร์เจนติน่า ออกนำ 1-0 ในนาที 35 จากการยิงของ เลโอเนล เมสซี่ แล้ว ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ มากดประตูที่ 2 ในนาทีที่ 57 แม้ว่า ออสเตรเลีย จะไล่มาเป็น 1-2 ในนาที 77 แต่ก็ไล่ไม่ทัน

     “ฟ้าขาว” ของกุนซือ เลโอเนล สกาโลนี่ ทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่การเปิดหัวด้วยการแพ้ ซาอุดิอาระเบีย แดนกลางได้ส่วนผสมที่ลงตัวโดยมี เอ็นโซ่ แฟร์นานเดซ ผนึกกำลังกับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โรดรีโก้ เดอ ปอล แล้วให้ ลีโอเนล เมสซี่ ยืนบทบาทหน้าเป้าตัวปลอม หรือเรียกเท่ๆว่า False9

     ซึ่ง LM10 ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมเป็นผู้เบิกสกอร์แรกคลายความกดดันให้กับทีม แล้วเหมือนเป็นการทำลายแผนของ ออสเตรเลีย ไปในตัว เพราะในช่วงแรกนั้น “ซอคเกอรูส” กะมาเอาแค่ผลเสมอ แล้วไปลุ้นในการดวลจุดโทษ หรือไม่ก็ขอยิงครั้งเดียวพอ แต่พอผิดแผน ประตูที่ 2 ก็ตามมาจนได้

อาร์เจนติน่า ต้องปรับปรุงเกมรับ

     หลังจากที่เป็นฝ่ายนำ 2 สกอร์ แล้วเป็น ออสเตรเลีย ที่หันมาเล่นเกมรุก จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า อาร์เจนติน่า เป๋พอสมควรยามที่ต้องเล่นเกมรับ เหมือนไม่มีความพร้อมที่จะเล่นเกมรับ แล้วโดนกดดันจนเสียประตูตีไข่แตก แม้จะมาจากลูกแฉลบแล้วเข้าประตูก็ตาม แต่การปล่อยให้ ออสเตรเลีย ได้ส่องหลายครั้ง รวมไปถึงจังหวะในช่วง 30 วินาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลาที่ การัง คูยูล ได้ซัดระยะ 8 หลา ซึ่งต้องบอกว่าเป็นจังหวะเซฟปาฏิหาริย์ของ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ไม่เช่นนั้นอาจได้เห็นการดวลจุดโทษ

เลาทาโร่ มาร์ติเนซ ควรปิดเกมให้เป็น 3-0

     เลาทาโร่ มาร์ติเนซ เป็นตัวจริงในเกมชนะ เม็กซิโก 2-0 หลังจากนั้น โดนดร็อปเป็นสำรองในนัดชนะ โปแลนด์ 2-0 รวมถึงเกมนี้ก็ลงมาเป็นสำรองแทนที่ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ในนาที 71 ซึ่งต้องบอกว่าสมควรแล้วจริงๆ เพราะศูนย์หน้าจาก อินเตอร์ มิลาน มีจังหวะที่ว่าได้ประตูแน่ๆ จากการถวายพานของเมสซี่ แต่ดันยิงออกไปเอง แล้วก็ยิงติดเซฟไปอีก 1 หน ไม่งั้นสกอร์ต้องเป็น 3-0 แล้วไม่ต้องมากดดันแบบนี้

     ครั้นเอาไปเทียบผลงานจากองหน้าค่ายเดียวกันอย่าง โรเมลู ลูคากู ก็จะบอกว่าเหมือนก็คงไม่ผิดนัก เพราะกองหน้าจอมยกนิ้วโป้ง ก็พลาดในจังหวะสำคัญ ส่งผลให้ เบลเยี่ยม กลับบ้านตั้งแต่สามนัดแรก